ใบงานที่ 4
1. ให้นักศึกษาวิเคราะห์ เปรียบเทียบความแตกต่าง หลักการ ทฤษฎีการบริหารจัดการ แต่ละยุค
ตอบ
ยุคที่ 1 ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์/ยุคทฤษฎีสมัยเดิม ผู้มีบทบาทสำคัญได้แก่ Frederick W. Taylor, Henri Fayol, Luther H. Gulick ,F. Bobbit Cubberley และ Ward G. Reeder ในการบริหารจัดการจะมีการเน้นกระบวนการบริหารและองค์ประกอบมีโครงสร้างที่แน่นอน มีโครงสร้างที่แน่นอน มีระเบียบแบบแผน มุ่งให้ผลผลิตมีประสิทธิภาพ ผู้นำมาจากอำนาจหน้าที่ เน้นที่ผู้บริหารเป็นสำคัญ ในองค์การใช้กฎเกณฑ์กฏระเบียบเคร่งครัดมากจนเกินไป เน้นการให้ค่าตอบแทนเป็นสิ่งสำคัญ เน้นคน และ วิธีการปฏิบัติ เพื่อประสิทธิภาพในการผลิต คนต้องทำงานเหมือนเครื่องจักร มองข้ามไม่คำนึงถึงด้านจิตวิทยา ในเรื่องจิตใจ เรื่องความตึงเครียด ความพึงพอใจ ความต้องการ ของผู้ทำงาน
ในยุคที่ 2 ทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ ยุคการบริหารมนุษยสัมพันธ์ ผู้มีบทบาทสำคัญได้แก่ Mary P. Follet, และ Elton Mayo ในการบริหารจัดการนั้น ผู้นำจะไม่มาจากอำนาจหน้าที่ มาจากความรู้ ความฉลาด มีประสบการณ์และมีการนำจิตวิทยาการบริหารมาใช้ ให้ความสำคัญกับคนงาน สร้าง รักษาความสัมพันธ์อันดี มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในองค์กร เข้าใจ ทั้งสภาพจิตใจ ให้ขวัญกำลังใจ และความพึงพอใจของคนงาน เงินค่าตอบแทนไม่สำคัญเพียงอย่างเดียว รางวัลทางจิตใจสำคัญ สร้างแรงจูงใจ ยกย่อง ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีทำงานได้อย่างสบายใจ สนุก มีความสุข มีการเปลี่ยนวิธีการทำงาน คนงานไม่เคร่งเครียด เกิดความรักสามัคคี ผูกพันกัน การใช้หลักความร่วมมือในการทำงานอย่างต่อเนื่อง ยอมรับความคิดเห็น ทำงานร่วมกันเป็นทีมเป็นคณะ
ส่วนในยุคที่ 3 ยุคการใช้ทฤษฎีทางการบริหาร ผู้มีบทบาทสำคัญได้แก่ Chester I. Barnard และ Douglas Mc. Gragor ได้มีการบริหารจัดการองค์การที่เป็นทางการ มีระบบงาน คนมีความสัมพันธ์มีมนุษยสัมพันธ์ต่อกัน และสนใจถึงพฤติกรรมขององค์การเข้าใจธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่เป็นจริง ให้ความสำคัญกับองค์กรหรือหน่วยงานในฐานะเป็นระบบหนึ่งของสังคมและสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกยอมรับการเปลี่ยนแปลง มีการคิดตัดสินใจ มีการให้กำลังใจและเปิดโอกาสให้ผู้ทำงานสามารถควบคุมตนเอง รับผิดชอบตนเอง ตัดสินใจเองบ้าง ริเริ่มด้วยความสามารถตนเอง จัดการบริหารแบบมีส่วนร่วม เพิ่มความรับผิดชอบ มีการกระจายอำนาจ บริหารงานกันอย่างเป็นระบบ ทำให้งานบรรลุเป้าหมายและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
2. ให้นักศึกษาวิเคราะห์ เปรียบเทียบความแตกต่าง ทฤษฎีภาวะผู้นำ
ตอบ
แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงคุณลักษณะ
แนวทฤษฎีนี้จะกล่าวถึงบุคลิกลักษณะของผู้นำนั้นผู้นำจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไป ลักษณะของผู้นำมีทั้งผู้นำแบบอัตนิยม แบบเสรีนิยม และแบบประชาธิปไตย ซึ่งผู้นำแบบประชาธิปไตยนี้เป็นแบบที่ดีที่สุด จะมีลักษณะใจกว้าง ถืออำนาจกลุ่มเหนืออำนาจตน ให้กลุ่มมีส่วนร่วมตัดสินใจ รับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งลักษณะประจำตัวของผู้นำที่ควรมีคือ มีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตัว บุคลิกภาพดี จิตใจดี เข้าสังคมได้ดี มีความรู้ความสามารถในหารบริหารและการทำงาน มีความตั้งใจสูง รับผิดชอบ มีความเป็นธรรม มีใจกว้าง มีฐานะทางสังคม มีศิลปะในการนำให้ผู้ตามปฏิบัติตาม
แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงพฤติกรรม
ในการศึกษาของ Ohio State University กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้นำสามารถแบ่งได้เป็น 2 ด้าน คือ 1).ผู้นำเริ่มจากตนเองเป็นหลัก ที่ผู้นำให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ การบังคับบัญชา เน้นบทบาทหน้าที่ตามตำแหน่ง และเน้นผลงานที่เกิดจากการทำงานตามโครงสร้าง 2).ผู้นำคำนึงถึงผู้อื่นเป็นหลัก ผู้นำจะให้ความสำคัญกับการมีความสัมพันธภาพที่ดีกับสมาชิก และมีส่วนร่วมในการทำงานของสมาชิก
Blake และMouton ได้สร้างตาราง 2 มิติ โดยให้แกนนอนแทนผู้นำที่มุ่งผลงาน และแกนตั้งแทนผู้นำที่มุ่งคน ซึ่งผู้นำที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่ผู้นำที่มุ่งทั้งงานและคน
แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของ Hersey – Blanchard
พฤติกรรมผู้นำควรเปลี่ยนแปลงตามความพร้อมของพนักงานในการทำงาน ผู้นำอิสระจะมีพฤติกรรมที่มุ่งสร้างโครงสร้าง และพฤติกรรมที่มุ่งความสัมพันธ์ และอธิบายว่า ภาวะผู้นำแบบต่างๆ ประกอบกับความพร้อมของสมาชิกทำให้เกิดรูปแบบของการทำงานของผู้นำ 4 รูปแบบ คือ การบอกกล่าว(Telling) การนำเสนอความคิด(Selling) การมีส่วนร่วม(Participation) และการมอบหมายงาน(Delegation)
แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงปฏิรูป/สมัยใหม่
จะเป็นภาวะผู้นำที่อยู่เหนือการนำในระดับปกติประจำวัน ภาวะผู้นำการปฏิรูปจะเกิดขึ้นเมื่อผู้นำเริ่มปรับความคิดเกี่ยวกับผลประโยชน์ของผู้ตามให้กว้างขึ้นและยกระดับขึ้นโดยการให้เกิดความตระหนักถึงจุดประสงค์ และวิสัยทัศน์พันธกิจของกลุ่ม และพยายามทำให้ผู้ตามสามารถเข้ากันได้เพื่อจะได้ยกระดับประโยชน์ส่วนตนให้เป็นประโยชน์ของกลุ่ม ภาวะผู้นำการปฏิรูป ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ ด้านความสามารถพิเศษ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ด้านการรู้สถานการณ์อย่างชาญฉลาด และ ด้านการรู้จักพิจารณารายบุคคล